วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Journal week7

Drivers of Mobile Computing & M-Commerce
-Widespread availability of mobile devices ประเทศไทยมีเบอร์มือถือมากกว่าจำนวนประชากร
-No need for a pc มือถือก็ทำงาน ทำธุรกรรมได้เหมือนคอม ใช้เวลาน้อยกว่าด้วย
-Handset culture เป็นแฟชั่น หรือบางคนบ้าเทคโนฯเปลี่ยนมือถือทุก 6 เดือน
-Declining prices, increased functionalities เทคโนโลยีพัฒนาเร็ว ราคาลดลง
-Centrino chip จริงๆแล้วเราไม่ค่อยได้ใช้แอพพลิเคชั่นอะไรที่ซับซ้อนมากมายในเครื่องคอมฯ +กว่าจะเปิดปิดคอมใช้เวลานาน เลยหันมาใช้มือถือสะดวกกว่า เร็วกว่า เพราะไม่ได้ใช้อะไรซับซ้อนก็ทำธุรกรรมได้
-Availability of internet access in automobile จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-Networks  3G,4G ประเทศไทยน่าจะมี3Gใช้ปีหน้า2554
-The service economy รายได้ของบ.มือถือไม่ได้มาจากแค่ค่าบริการ ต้องขายพวกคอนเทนท์ ริงโทนด้วย เพราะถ้าขายvoice serviceอย่างเดียว ธุรกิจมันไม่โตแล้ว

Mobile Computing Infrastructure
       WAP (Wireless Application Protocol) – a set of standards designed to extend Internet services to mobile phones, pagers, and PDAs   protocolเป็นภาษาสากลที่ใช้กัน
       Markup languages: WML, XHTML
       Mobile development: .NET compact, Java ME, Python
       Mobile Emulators เอาไว้เล่นเกมในคอม
       Microbrowsers: Android, Safari, IE mobile, Firefox mobile
       HTML5 เป็นprotocolใหม่ ที่พยายามจะให้เป็นstandard ของเก่าใช้flash/Javaต้องมานั่งอัพเดท แต่HTML5ทำเป็นเหมือนหน้าเว็บเลย ไม่ต้องมานั่งอัพเดท Appleไม่ค่อยรองรับflash เพราะพยายามจะใช้HTML5

-3G จริงๆแล้วก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเท่าไร แต่สำหรับผู้ประกอบการจำเป็นมาก
-WiMax เป็นเสาไฟฟ้าใหญ่ๆ เพื่อส่งwirelessให้ครอบคลุมทั้งเมือง(จากเดิมที่ส่งสัญญาณกันแค่ในบ้าน) ประเทศไทยมีทดลองใช้ที่ม.แม่ฟ้าหลวง ถ้ามีทั้ง3G&WiMaxใช้จะดีมาก แต่ผู้ประกอบการไม่ได้รับประโยชน์มากเท่าไร เลยไม่มีคนทำ
                -BlackBerry OS ใช้social network effect ทำให้คุณค่าของสินค้ามากขึ้น เพราะคนใช้จะไม่สามารถออกจากวงสังคมนี้ได้ เพราะจะทำให้คุณค่าของมือถือลดลง แต่ถ้ายิ่งมีเพื่อนใช้มากขึ้น ก็จะยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น
                -Android OS ในอเมริกา คนที่ใช้จะมีอายุนิดนึง อนุรักษ์นิยม ไม่ใช่คนเมืองจ๋า Appleพยายามพัฒนา
M-Commerce Business Models
       Usage fee model (subscription based/usage based)
       Shopping Business Models
       Marketing business Models
       Improved Efficiency Models
       Advertising Business Models (Flat fees/Traffic-based fees)
       Revenue-Sharing Business Models
เช่น บ.เพลง ขายแต่เพลงไม่ได้แล้ว มาขายคอนเทนท์ ริงโทนแทน แล้วแชร์รายได้กับบ.มือถือ
Mobile Banking & Stock Trading ไว้ใช้โอนเงิน จ่ายเงิน เพิ่มการใช้บริการของธนาคารให้มากขึ้น
                ITunes
Apple ไม่ได้ตั้งใจจะขายฮาร์ดแวร์ อย่างiphone ipod บางทีfeaturesต่างๆสู้บ.อื่นไม่ได้ แต่ขายดี เพราะเค้าขาย contents เช่น iTunes Appleใช้เป็นmusic door แค่ไปดาวน์โหลดiTune store มีทั้งพวกเพลงเก่า นักร้องไม่ดัง/ไม่มีที่ขาย แล้วเค้าขายแค่99เซ็นต์ ไม่เกิน2เหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่คนรับได้ คนยอมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ (ในช่วงที่downloadกำลังบูม) ตอนนี้ iTunes ขายเพลงได้66%ของเพลงที่ขายได้ทั้งหมดในอเมริกา Win-Winทั้งapple นักร้อง ค่ายเพลง
                App Store
Applicationเล็กๆน้อยๆ ที่appleขายก็ 99 เซ็นต์เหมือนกัน ไม่เกิน 5 เหรียญ คนที่พัฒนาก็เป็นคนธรรมดาที่ขายให้iTune storeทำให้มีcontentsเยอะ(long tail) จากเดิมที่ต้องเป็นบ.ใหญ่ๆพัฒนา ขายราคาแพงๆ
                บ.ต่างๆพอเห็น Apple ขายดี ก็จะมาทำให้เครื่องมือ เครื่องใช้เสริมให้ เช่น case ลำโพง ฯลฯ แล้วพอผลิตให้ Apple แล้วก็จะไปผลิตให้บ.อื่นไม่ได้/ไม่สะดวกแล้ว +คนใช้ พอเห็นแอปเปิ้ลมีฟังก์ชั่นเสริมเยอะก็สบายใจว่าซื้อไปแล้ว มีaccessoriesให้ใช้แน่นอน
Interactive book พวกหนังสือนิทาน สำหรับเด็ก ขายดีมาก แอปเปิ้ลพยายามผลักดันให้มาอ่านหนังสือE-book
iPad ทำให้ชีวิตคนเปลี่ยน ที่กระทบมากคือพวก นสพ นิตยสาร เพราะคนไม่ค่อยอ่านกระดาษแล้ว เลยไปขายแบบออนไลน์แทน
Kindle  ไว้อ่านหนังสืออย่างเดียวเลย(E-paper) แต่พวกiPadยังเป็นแอพฯที่เชื่อมกับคอมอยู่(จอกระพริบตลอดเวลาเหมือนคอม) แต่E-bookไม่กระพริบ
Augmented Reality ความเป็นจริงเสมือน แปลงของจริงเป็นโลกเสมือน เช่น เอามือถือไปส่องดูตามบ้านเพ่อให้รู้ว่าบ้านไหนขายมั่ง แปลงภาษาอังกฤษเป็นสเปน  ในไทยมีแสนสิริ เลย์ทำ
ข้อจำกัด
-           3G ยังไม่เข้ามา
-           กลัวไม่ปลอดภัย เช่น e-banking
-           iPadใหญ่ ขี้เกียจพก

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Journal week6

-Dellสามารถชนะคู่แข่งได้ เพราะใช้อินเตอร์เนท(ช่วงแรก) เพราะคู่แข่ งมัวแต่คิดว่าต้องไปขายตามซุปเปอร์  เป็นนวัตกรรมใหม่ ณ ตอนนั้น ที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ ว่าสั่งชิ้นส่วนอะไรบ้าง จะเสร็จวันไหน(ตายตัว) Dell มีcustomer service อยู่ที่อินเดียเพราะค่าแรงถูก ประหยัดได้อีก
-Ebay กำไรค่อนข้างดีเพราะใช้หลักทางจิตวิทยา ว่าคนอยากชนะ เลยต้องรีบมาบิดก่อนหมดเวลา
-Amazon ตอนแรกขายแค่หนังสือก่อน (เมซอนเป็นเมทริกซ์ long tail คือ คนส่วนใหญ่จะซื้อของกันแค่ไม่กี่ชนิด พวกเบสเซลเลอร์ 50 ทั้งที่สินค้ามีเป็นหมื่น) อเมซอนใช้ข้อได้เปรียบนี้ที่ร้านหนังสืออื่นไม่สามารถมีสินค้าเป็นหมื่นได้ แต่อเมซอนทำlongtailได้ เลยได้ลูกค้ามากกว่าทั้งพวกที่ซื้อเฉพาะสินค้าป๊อปๆ และสินค้าแปลกๆ
-Click & martar VS Brick & mortar businessแบบออนไลน์และปกติ
-Batering ยื่นหมูยื่นแมว เข่น เว็บไซต์ที่รวบรวมรายชื่อธุรกิจต่างๆให้คนมาติดต่อกันได้ ใช้ฟรี โพสฟรี
-E business พวกม.เอกชนใช้ หรือพวกบริษัทท่องเที่ยว ก็ให้ลูกค้ามารีวิวในเว็บ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ถ้าลูกค้าไม่ประทับใจก็รีวิวไม่ดี
-Application คนที่พัฒนาต้องมี API ซึ่งอาจไม่ได้พัฒนาไว้แค่สำหรับบรษัทเดียว แต่อาจไปแชร์ให้รายอื่นด้วย
-Paypal จ่ายเงินออนไลน์ ครั้งเดียวเสร็จ ไม่เก็บข้อมูล ไม่เหมือนบัตรเครดิตที่เราอาจไม่ไว้ใจให้บริษัทที่เราไม่ค่อยรู้จักมาทำธุรกรรมกับบัตรเรา เลยใช้paypalแทน

Benefit
-Org ทำให้ขายได้มากขึ้น จากเดิมขายได้แค่ประเทศไทยก็ไปขายต่างประเทศได้ด้วย
-ลูกค้า
-สังคม ซื้อขายอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเปลืองน้ำมันรถไปดูถึงที่
Limitation
Standard ของ electronic แต่ละรายอาจไม่เหมือนกัน เช่น คนยังใช้ IE6 กันอยู่เยอะมาก คนไม่ค่อยเปลี่ยน เบราเซอร์อาจมีไวรัส มัลแวร์อยู่ จะซื้อของออนไลน์ก็อันตราย

-Social commerce (Social commerce/Social Shopping)
การที่คนเราจะซื้อของ คนก็จะไปหาข้อมูล ขอคำปรึกษาออนไลน์ ซึ่งคนที่ผู้ซื้อจะเชื่อมากที่สุด คือ เพื่อน  บริษัทที่กลัวFBมากที่สุด คือ กูเกิ้ล เพราะเฟซบุคก็มีฐานข้อมูลใหญ่ และกำลังจะพัฒนาให้เป็น search engine รวบรวมรีวิว
-Electronic catalogs เพราะมีคนต้องการดูแบบเป็นหนังสือมากกว่า ดูเป็นเว็บหมดเลย
-E-Auctions เว็บประมูลสินค้า ทั้งให้ลูกค้าธรรมดาประมูล และลูกค้าที่เป็นธุรกิจ หรือเอาของตกรุ่นมาขาย
-E-classifieds เช่น Halfขายของราคาประมาณครึ่งนึงของราคาปกติ หรือe-bay store ก็รวมร้านค้าอยู่ในนี้เลย
-Electronic Storefronts เป็นbrick & motar มีร้านในห้างด้วย แล้วก็มีในเว็บด้วย ข้อดี เจาะลูกค้าได้หลากหลาย ถ้าจะคืนของเอาไปที่ร้านได้ ข้อเสีย ต้องบริหารหลายที่ ต้องมีผู้บริหารแยกกันต่างหากเลย
-travel service ใช้ IT เยอะมาก เพราะต้องจองเครื่องบิน รถ โรงแรม ไปเที่ยวทำกิจกรรม ดูโชว์ 
-E-government เช่น e-auction ประมูลป้ายทะเบียนรถ ทำบัตร ปชช ก็ใช้ IT แล้ว

Ethical&legal
*เวลาจะซื้อของตามเว็บ ต้องดูว่าหน้าเพจนั้นมีรูปกุญแจรึเปล่า ถ้ามีถึงจะปลอดภัย
*เว็บconsumeristรวมสินค้าแย่ๆหรือเว็บแย่ๆ ให้คนมาแฉ  คนอื่นจะได้ไม่ต้องไปซื้อ


***Present***
1. ระบบสารสนเทศสุขภาพ (Health Information) หมายถึง สารสนเทศที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชน รวมถึงข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข และกิจกรรมสาธารณสุข โดยสารสนเทศสุขภาพแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1.       ข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม
2.       ข้อมูลด้านสถานสุขภาพ
3.       ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข
4.       ข้อมูลด้านกิจกรรมสาธารณสุข
5.       ข้อมูลด้านการบริหารจัดการ
 
ประโยชน์ของสารสนเทศสุขภาพ
ประโยชน์ของสารสนเทศสุขภาพ คือ ทำให้ทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสาธารณสุข เช่น สถานสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพอนามัยของประชากร ปัญหาและอุปสรรคในการให้บริการสาธารณสุข ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานบริการสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
 
2.
เว็บ 2.0 นั้นเป็นคำที่นิยามขึ้นโดยทิม โอไรล์ลีย์ ภายหลังจากงานประชุมโอไรล์ลีย์มีเดีย เว็บ 2.0 ที่จัดขึ้นในปี 2547 โดยคำว่าเว็บ 2.0 นั้นไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคนิคแต่อย่างใดโดยเว็บ 2.0 จะต้องมีคุณลักษณะหลักๆ ดังนี้
     1. "network as platform" คือจะต้องให้บริการหรือสามารถใช้งานผ่านทาง "web browser" ได้ 
     2. ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลบน "website" นั้น สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้กับข้อมูลนั้น  
     3. ให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมีส่วนร่วมต่อเว็บไซต์มากขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บจัดทำขึ้นเท่านั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้าง content ของเว็บไซต์ขึ้นมาได้เองหรือสามารถ tag content ของเว็บไซต์ (คล้ายๆการกำหนด keyword ที่เกี่ยวข้องกับ content โดยผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นผู้กำหนดขึ้น) ตัวอย่างเช่น Digg, Flickr, Youtube , Wiki 
     4. Web 2.0 application จะมีคุณสมบัติที่เรียกว่า RIA (Rich Internet Application) นั่นคือ Web 2.0 application จะมี user interface ที่ดียิ่งขึ้น เช่น คุณสมบัติ drag & drop ซึ่งเราใช้กับใน desktop application ทั่วๆไปก็สามารถใช้ได้บนเว็บเช่นกัน โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการสร้าง RIA เช่น AJAX, Flash
     5.มีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว
     6.มีความรวดเร็ว และความง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์  
     7.มีคุณสมบัติที่เรียกว่า mash-up คือการนำฟังก์ชั่นการใช้งานจากเว็บหลายๆที่ๆมาผนวกเข้าด้วยกัน

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Journal week5


Productivity Paradox เป็นข้อแตกต่างระหว่างการวัดการลงทุนใน IT กับการวัดผลoutputในระดับ national level

IT Justification Process
-Lay an appropriate foundation for analysis, and then conduct you ROI
-Conduct a good research on metrics & validate them -Justify, clarify, and document the costs and benefits assumptions
-Document and verify all figures used in the calculation and include risk analysis ให้รวมคำนวณความเสี่ยงไปด้วย
-Is the project really bolstering the company’s competitive and strategic advantage?
-Not to underestimate costs and overestimate benefits
-Commit all partners, including vendors and top management

                Difficulties in Measuring Productivity & Performance gains
-Incorrectly defining what is measured ไม่รู้ว่าจะวัดอะไรดี
-Time lags การส่งผลกระทบช้า ทำให้ต้องวัดช้าด้วย
-Relationship between IT investment & organizational performance difficult to find เช่น ให้บริการเร็วขึ้น ลูกค้าน่าจะพอใจ แต่จะวัดยังไง

Revenue Models generated by IT & Web
1.Sales
2.Transaction fees
3. Subscription fees
4. Advertising fees
5. Affiliate fees

Cost -Benefit Analysis แต่ก็ไม่ได้มองปัจจัยเดียว มองเชิงกลยุทธ์ด้วยว่าจำเป็นต้องทำหรือเปล่า
·        Cost
-development costs
-setup costs
-Operational costs
-Intangible costs
·        Benefits
-direct benefits  ขายได้มากขึ้น
-Assessable indirect benefits
-Intangible benefits วัดเป็นเงินไม่ได้ เป็นsecond order impact

Cost-benefit evaluation techniques
-Net Profit  ดูระดับกำไรสูงสุด
-Payback period ดูเวลาในการคืนทุนต่ำสุด
-ROI = average annual profit/total investment*100
-NPV = value in year t/(1+r)^t ยากที่จะเปรียบเทียบกับโปรเจ็คที่มีขนาดไม่เท่ากัน
-IRR  ทำให้แต่ละโปรเจ็คใช้วิธีเปรียบเทียบเหมือนๆกัน แต่จะสมมติให้ reinvestment rateเท่ากันตลอด
Advanced methods for justifying IT investment and using IT metrics
TCO เอามาเทียบกับ TBO คล้ายกับ Cost-benefit analysis
Balanced scorecard method
-financial perspectives ผลการดำเนินงานเป็นยังไง การเพิ่มขึ้นของกำไร รายได้ ต้นทุน
-Customer perspectives ลูกค้ามองเรายังไง ความพอใจของลูกค้า รักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มลูกค้าใหม่
-Internal process perspectives ทำให้องค์กรนำเสนอคุณค่าให้ลูกค้าได้ เช่น ผลิตภาพ คุณภาพ ทักษะพนักงาน cycle time
-Learning and growth perspectives  ทัศนคติ ทักษะ turnoverของพนักงาน
                ต้นทุนของการลงทุนใน IT อยู่ในส่วนไหน
1.all expenses go into overhead account
2. chargeback -> A behavior oriented chargeback system