วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Journal week6

-Dellสามารถชนะคู่แข่งได้ เพราะใช้อินเตอร์เนท(ช่วงแรก) เพราะคู่แข่ งมัวแต่คิดว่าต้องไปขายตามซุปเปอร์  เป็นนวัตกรรมใหม่ ณ ตอนนั้น ที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ ว่าสั่งชิ้นส่วนอะไรบ้าง จะเสร็จวันไหน(ตายตัว) Dell มีcustomer service อยู่ที่อินเดียเพราะค่าแรงถูก ประหยัดได้อีก
-Ebay กำไรค่อนข้างดีเพราะใช้หลักทางจิตวิทยา ว่าคนอยากชนะ เลยต้องรีบมาบิดก่อนหมดเวลา
-Amazon ตอนแรกขายแค่หนังสือก่อน (เมซอนเป็นเมทริกซ์ long tail คือ คนส่วนใหญ่จะซื้อของกันแค่ไม่กี่ชนิด พวกเบสเซลเลอร์ 50 ทั้งที่สินค้ามีเป็นหมื่น) อเมซอนใช้ข้อได้เปรียบนี้ที่ร้านหนังสืออื่นไม่สามารถมีสินค้าเป็นหมื่นได้ แต่อเมซอนทำlongtailได้ เลยได้ลูกค้ามากกว่าทั้งพวกที่ซื้อเฉพาะสินค้าป๊อปๆ และสินค้าแปลกๆ
-Click & martar VS Brick & mortar businessแบบออนไลน์และปกติ
-Batering ยื่นหมูยื่นแมว เข่น เว็บไซต์ที่รวบรวมรายชื่อธุรกิจต่างๆให้คนมาติดต่อกันได้ ใช้ฟรี โพสฟรี
-E business พวกม.เอกชนใช้ หรือพวกบริษัทท่องเที่ยว ก็ให้ลูกค้ามารีวิวในเว็บ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ถ้าลูกค้าไม่ประทับใจก็รีวิวไม่ดี
-Application คนที่พัฒนาต้องมี API ซึ่งอาจไม่ได้พัฒนาไว้แค่สำหรับบรษัทเดียว แต่อาจไปแชร์ให้รายอื่นด้วย
-Paypal จ่ายเงินออนไลน์ ครั้งเดียวเสร็จ ไม่เก็บข้อมูล ไม่เหมือนบัตรเครดิตที่เราอาจไม่ไว้ใจให้บริษัทที่เราไม่ค่อยรู้จักมาทำธุรกรรมกับบัตรเรา เลยใช้paypalแทน

Benefit
-Org ทำให้ขายได้มากขึ้น จากเดิมขายได้แค่ประเทศไทยก็ไปขายต่างประเทศได้ด้วย
-ลูกค้า
-สังคม ซื้อขายอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเปลืองน้ำมันรถไปดูถึงที่
Limitation
Standard ของ electronic แต่ละรายอาจไม่เหมือนกัน เช่น คนยังใช้ IE6 กันอยู่เยอะมาก คนไม่ค่อยเปลี่ยน เบราเซอร์อาจมีไวรัส มัลแวร์อยู่ จะซื้อของออนไลน์ก็อันตราย

-Social commerce (Social commerce/Social Shopping)
การที่คนเราจะซื้อของ คนก็จะไปหาข้อมูล ขอคำปรึกษาออนไลน์ ซึ่งคนที่ผู้ซื้อจะเชื่อมากที่สุด คือ เพื่อน  บริษัทที่กลัวFBมากที่สุด คือ กูเกิ้ล เพราะเฟซบุคก็มีฐานข้อมูลใหญ่ และกำลังจะพัฒนาให้เป็น search engine รวบรวมรีวิว
-Electronic catalogs เพราะมีคนต้องการดูแบบเป็นหนังสือมากกว่า ดูเป็นเว็บหมดเลย
-E-Auctions เว็บประมูลสินค้า ทั้งให้ลูกค้าธรรมดาประมูล และลูกค้าที่เป็นธุรกิจ หรือเอาของตกรุ่นมาขาย
-E-classifieds เช่น Halfขายของราคาประมาณครึ่งนึงของราคาปกติ หรือe-bay store ก็รวมร้านค้าอยู่ในนี้เลย
-Electronic Storefronts เป็นbrick & motar มีร้านในห้างด้วย แล้วก็มีในเว็บด้วย ข้อดี เจาะลูกค้าได้หลากหลาย ถ้าจะคืนของเอาไปที่ร้านได้ ข้อเสีย ต้องบริหารหลายที่ ต้องมีผู้บริหารแยกกันต่างหากเลย
-travel service ใช้ IT เยอะมาก เพราะต้องจองเครื่องบิน รถ โรงแรม ไปเที่ยวทำกิจกรรม ดูโชว์ 
-E-government เช่น e-auction ประมูลป้ายทะเบียนรถ ทำบัตร ปชช ก็ใช้ IT แล้ว

Ethical&legal
*เวลาจะซื้อของตามเว็บ ต้องดูว่าหน้าเพจนั้นมีรูปกุญแจรึเปล่า ถ้ามีถึงจะปลอดภัย
*เว็บconsumeristรวมสินค้าแย่ๆหรือเว็บแย่ๆ ให้คนมาแฉ  คนอื่นจะได้ไม่ต้องไปซื้อ


***Present***
1. ระบบสารสนเทศสุขภาพ (Health Information) หมายถึง สารสนเทศที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชน รวมถึงข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข และกิจกรรมสาธารณสุข โดยสารสนเทศสุขภาพแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1.       ข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม
2.       ข้อมูลด้านสถานสุขภาพ
3.       ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข
4.       ข้อมูลด้านกิจกรรมสาธารณสุข
5.       ข้อมูลด้านการบริหารจัดการ
 
ประโยชน์ของสารสนเทศสุขภาพ
ประโยชน์ของสารสนเทศสุขภาพ คือ ทำให้ทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสาธารณสุข เช่น สถานสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพอนามัยของประชากร ปัญหาและอุปสรรคในการให้บริการสาธารณสุข ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานบริการสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
 
2.
เว็บ 2.0 นั้นเป็นคำที่นิยามขึ้นโดยทิม โอไรล์ลีย์ ภายหลังจากงานประชุมโอไรล์ลีย์มีเดีย เว็บ 2.0 ที่จัดขึ้นในปี 2547 โดยคำว่าเว็บ 2.0 นั้นไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคนิคแต่อย่างใดโดยเว็บ 2.0 จะต้องมีคุณลักษณะหลักๆ ดังนี้
     1. "network as platform" คือจะต้องให้บริการหรือสามารถใช้งานผ่านทาง "web browser" ได้ 
     2. ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลบน "website" นั้น สามารถดำเนินการใดๆ ก็ได้กับข้อมูลนั้น  
     3. ให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมีส่วนร่วมต่อเว็บไซต์มากขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บจัดทำขึ้นเท่านั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้าง content ของเว็บไซต์ขึ้นมาได้เองหรือสามารถ tag content ของเว็บไซต์ (คล้ายๆการกำหนด keyword ที่เกี่ยวข้องกับ content โดยผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นผู้กำหนดขึ้น) ตัวอย่างเช่น Digg, Flickr, Youtube , Wiki 
     4. Web 2.0 application จะมีคุณสมบัติที่เรียกว่า RIA (Rich Internet Application) นั่นคือ Web 2.0 application จะมี user interface ที่ดียิ่งขึ้น เช่น คุณสมบัติ drag & drop ซึ่งเราใช้กับใน desktop application ทั่วๆไปก็สามารถใช้ได้บนเว็บเช่นกัน โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการสร้าง RIA เช่น AJAX, Flash
     5.มีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว
     6.มีความรวดเร็ว และความง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์  
     7.มีคุณสมบัติที่เรียกว่า mash-up คือการนำฟังก์ชั่นการใช้งานจากเว็บหลายๆที่ๆมาผนวกเข้าด้วยกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น